กาแฟในทางการแพทย์ มีการระบุว่า ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองมากขึ้น จึงเป็นผลให้ช่วยลดความเสี่ยงการเป็นโรคอัลไซเมอร์ และโรคพากินสัน และทำให้สดชื่น เนื่องจากทำให้สาร ซีโรโทนิน (serotonin) นอร์เอพิเนฟริน (norepinephrine) เพิ่มขึ้น ระบบประสาทส่วนกลางถูกกระตุ้นมากขึ้น ส่งผลให้ร่างกายตื่นตัว ลดอาการง่วงนอน หรือบางคนแค่ได้กลิ่นก็เกิดความกระชุ่มกระชวยและหายง่วงนอนได้
นอกจากนั้นยัง ช่วยป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบซี จากการวิจัยพบว่าการดื่มกาแฟดำเป็นประจำทุกวัน จะสามารถบรรเทาและป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบซีได้ ช่วยลดความอ้วน กาแฟดำมีส่วนช่วยในการละลายไขมันได้ดี และสามารถให้พลังงานทดแทนได้ ซึ่งการดื่มกาแฟเป็นประจำหลังมื้ออาหาร ถือเป็นวิธีที่ดีที่สุด เนื่องจากกาแฟจะเข้าไปทำให้ไขมันที่ทานเข้าไปแตกตัวและสลายไปอย่างง่ายดายโดยไม่จับเป็นก้อนนั่นเอง แต่จะต้องเป็นกาแฟดำที่ปราศจากน้ำตาลเท่านั้น ป้องกันโรคหอบ เมื่อดื่มกาแฟดำเป็นประจำ ฤทธิ์ของกาแฟดำจะเข้าไปช่วยระงับความตึงเครียดของประสาทสัมผัสสำรอง และไม่ทำให้เกิดอาการหอบนั่นเอง ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ เนื่องจากในกาแฟดำมีวิตามินบีรวมชนิดหนึ่ง ชื่อว่านิโคติน ซึ่งจะช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือดและป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว จึงไม่ทำให้เป็นโรคหัวใจ แถมลดความเสี่ยงภาวะไขมันในเลือดสูงอีกด้วย แต่สำหรับคนที่เป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว ไม่ควรดื่มกาแฟเด็ดขาด ป้องกันโรคมะเร็ง ในกาแฟดำมีกรดอะซิติก ที่จะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของก้อนเนื้อร้าย และทำลายเซลล์ผิดปกติ บรรเทาอาการปวดศีรษะ เพราะคาเฟอีนมีส่วนช่วยในการขยายหลอดเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น และระงับอาการปวดศีรษะได้ ช่วยชะลอวัย เพราะกาแฟดำจะทำให้ออกไซด์แตกตัว ลดการสะสมของออกซิเจนที่มีมากเกินไปจนอาจทำให้แก่เร็ว พร้อมทำให้ผิวพรรณเต่งตึง กระชับ ป้องกันการเกิดริ้วรอยและรอยเหี่ยวย่นของผิวได้อย่างดีเยี่ยม ประโยชน์มีเยอะแล้ว แน่นอนโทษของมันก็มี
โทษของการดื่มกาแฟที่ไม่ถูกวิธี
หากท่านดื่มกาแฟ เกิน 4 แก้ว ต่อวัน คือได้รับปริมาณคาเฟอีนที่มากไป ทำให้ซึมๆ งงๆ หงุดหงิด เนื่องจากสารที่ออกมาจากสมองผิดปกติ และทำให้หัวใจเต้นมากขึ้น ความดันขึ้น ใจสั่น หากร่างกายได้รับกาเฟอีนสูงกว่า 150 มิลลิกรัมต่อวัน จะทำให้นอนหลับยาก หลับไม่สนิท และหากดื่มมากไปติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้เสี่ยงแคลเซียมน้อย เป็นโรคกระดูกพรุน จึงมีข้อสันนิษฐานว่า หากมีการสูญเสียแคลเซียมออกจากร่างกายบ่อยๆ ในปริมาณมาก อาจเพิ่มปัจจัยเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนในหญิงวัยหมดประจำเดือนได้ หากดื่มกาแฟแล้วต้องดื่มน้ำตามมากๆ เพราะกาแฟเป็นตัวขับน้ำออกจากร่างกาย อาจทำให้ร่างกายขาดน้ำได้ ทำให้ปวดหัวได้ กาเฟอีนยัง เร่งการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารกาเฟอีนมีฤทธิ์ไปกระตุ้นการหลั่งกรดเพปซิน (pepsin) และแกสตริน (gastrin) อาจทำให้โรคแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้รุนแรงขึ้นได้
ปริมาณของกาเฟอีนที่มีผลต่อร่างกายและอารมณ์
กาเฟอีนขนาดต่ำ (50-200 มก.) จะกระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัว กระปรี้กระเปร่า สดชื่น ไม่ง่วงนอน
กาเฟอีนขนาดปานกลาง (200-500 มก.) อาจทำให้ปวดศีรษะ เครียด กระวนกระวาย มือสั่น นอนไม่หลับ
กาเฟอีนขนาดสูง (1,000 มก.) จะเริ่มทำให้เกิดกาเฟอีนเป็นพิษ (caffeinism) ซึ่งจะมีอาการกระสับกระส่ายอยู่นิ่งไม่ได้ หัวใจเต้นเร็ว คลื่นไส้ เบื่ออาหาร ปัสสาวะบ่อย
ปริมาณกาเฟอีนเท่าไร จึงจะปลอดภัย
สภาพร่างกายของแต่ละบุคคลมีความไว (sensitivity) ต่อปริมาณกาเฟอีนแตกต่างกัน การดื่มกาแฟ ๑ ถ้วยเท่ากัน อาจทำให้คนที่ไวต่อกาเฟอีน ใจสั่น นอนไม่หลับ แต่ไม่มีผลกับอีกคนหนึ่งที่มีความทนทานมากกว่า
อย่างไรก็ตาม องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) ได้กำหนดปริมาณกาเฟอีนที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพคือ ไม่เกิน 300 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเทียบได้กับการดื่มกาแฟไม่เกิน 3 ถ้วยต่อวัน หรือเลือกดื่มกาแฟสายพันธ์อาราบิก้า 100% เพราะมีปริมาณกาเฟอีนน้อยกว่าพันธ์โรบัสต้า 2 เท่า
ดื่มกาแฟอย่างไรให้เกิดประโยชน์มากที่สุด และเกิดผลเสียน้อยที่สุด
- ควรสังเกตว่าตัวคุณเอง มีความไวของการตอบสนองต่อปริมาณกาแฟกี่ถ้วย มีอาการอย่างไรบ้าง เพื่อหาปริมาณที่เหมาะสมสำหรับตนเอง หรือเลือกดื่มอาราบิก้า 100% เท่านั้น
- หากมีอาการนอนหลับยาก ควรหลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟในช่วงบ่ายหรือช่วงหัวค่ำ
- ไม่ควรดื่มกาแฟขณะท้องว่าง เนื่องจากกาเฟอีนเร่งการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร
- ไม่ควรดื่มกาแฟเพื่อหักโหมทำงาน และอดนอนติดต่อกันหลายๆ คืน แม้ว่ากาเฟอีนช่วยให้ร่างกายตื่นตัวจริง แต่สมองต้องการเวลาพักผ่อนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรับรู้
- หากคุณเป็นผู้ที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ ควรกินอาหารที่เป็นแหล่งของแคลเซียมเพิ่มเติม เช่น นม โยเกิร์ต ปลาเล็กปลาน้อย คะน้า บรอกโคลี เป็นต้น เพื่อทดแทน แคลเซียมที่สูญเสียไปกับปัสสาวะ และลดความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน หรืออาจปรับเปลี่ยนโดยการชงกาแฟใส่นมแทนครีมเทียม เป็นต้น
- ควรกินผักผลไม้อย่างเพียงพอทุกวัน เนื่องจากในกระบวนการคั่วเมล็ดกาแฟ จะมีอนุมูลอิสระเกิดขึ้น วิตามินซี อี และบีตาแคโรทีนในผักผลไม้ เช่น มะเขือเทศ แครอต ผักใบเขียว ฝรั่ง ส้มเขียวหวาน เป็นต้น จะช่วยกำจัดอนุมูลอิสระในร่างกายได้
- ดื่มน้ำสะอาดมากๆ เพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำจากฤทธิ์ในการขับปัสสาวะของกาเฟอีน
- หัดดื่มกาแฟดำ เนื่องจากไม่มีน้ำตาลและครีมเทียม ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพหากได้รับมากเกินไป
สั่งซื้อ เมล็ดกาแฟสด เมล็ดกาแฟคั่ว อาราบิก้า 100% คลิก https://www.facebook.com/NorthDegreeCoffee